สังคมแห่งความเท่าเทียมกัน
บรรจง บินกาซัน
เรื่องต่อไปนี้มีบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์อิสลามที่สามารถหาอ่านได้
สงครามบะดัรฺเป็นสงครามครั้งแรกที่เกิดขึ้นในเมืองมะดีนะฮฺหลังจากมุสลิมอพยพจากเมืองมักก๊ะฮฺได้สองปี เป้าหมายของฝ่ายมักก๊ะฮฺคือกำจัดนบีมุฮัมมัดและมุสลิมให้สิ้นซาก สงครามครั้งนี้ ฝ่ายนบีมุฮัมมัดมีกำลังคนประมาณม 300 คนและเป็นฝ่ายตั้งรับผู้รุกรานจากเมืองมักก๊ะฮฺที่มีประมาณ 1,000 คน
นบีมุฮัมมัดนำสาวกของท่านออกมาตั้งรับนอกเมืองที่ทุ่งบะดัรฺ ขณะจัดแถวนักรบ ท่านได้ใช้ไม้ตีไปที่ท้องของสาวกคนหนึ่งเพื่อให้ถอยไปอยู่ในแถว สาวกคนนั้นร้องว่า “โอ้นบี ฉันเจ็บนะ” นบีมุฮัมมัดจึงกล่าวว่า “ขอโทษด้วย ท่านตีฉันกลับอย่างที่ฉันทำกับท่านได้เลย” กล่าวจบท่านได้เปิดเสื้อคลุมหน้าท้องของท่านออกและยื่นไม้ให้ สาวกคนนั้นจึงออกมาจูบท้องของท่านนบีและกล่าวว่า “นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ”
อีกเรื่องหนึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในเมืองมะดีนะฮฺ
ผู้หญิงคนหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงถูกจับโทษฐานขโมยและเรื่องนี้ได้ถูกนำไปให้นบีมุฮัมมัดพิจารณา พ่อแม่และผู้ใหญ่ของฝ่ายผู้หญิงได้ขอให้เซด บินฮาริซะฮฺ บุตรบุญธรรมของนบีมุฮัมมัดช่วยขอร้องนบีให้ยกเว้นการลงโทษผู้หญิงคนนี้ แต่ท่านนบีได้ตอบว่า “หลายชนชาติแล้วก่อนหน้าเจ้าได้ถูกพระเจ้าทำลายเพราะพวกเขาลงโทษคนธรรมดาที่ทำความผิดและปล่อยให้คนมีเกียรติในหมู่พวกเขาไม่ต้องถูกลงโทษในความผิดที่พวกเขาทำไป ฉันขอสาบานต่อพระเจ้าผู้ทรงกำชีวิตของฉันไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่าถึงแม้ฟาฏิมะฮฺลูกสาวของฉันทำความผิดนี้ ฉันจะตัดมือของเธอ”
อีกเรื่องหนึ่งหลังสมัยนบีมุฮัมมัด ระหว่างที่อุมัรฺเป็นเคาะลีฟะฮฺปกครองแผ่นดินอิสลามที่ขยายอาณาเขตออกไปถึงอียิปต์ มุฮัมมัดลูกชายของอัมร์ อิบนุลอาศ เจ้าเมืองอียิปต์ได้เฆี่ยนชาวอียิปต์คนหนึ่งโดยไม่เป็นธรรม ชาวอียิปต์คนนั้นจึงไปยังเมืองมะดีนะฮฺและร้องทุกข์เรื่องนี้แก่เคาะลีฟะฮฺ
เมื่อได้รับคำร้องทุกข์ เคาะลีฟะฮฺอุมัรฺจึงเรียกเจ้าเมืองและลูกชายของเขามายังมะดีนะฮฺทันที
เมื่อสองพ่อลูกมายังเมืองมะดีนะฮฺ เคาะลีฟะฮฺอุมัรฺได้ยื่นแส้อันหนึ่งให้แก่ชาวอียิปต์ที่มาร้องทุกข์และบอกเขาให้เฆี่ยนลูกชายของเจ้าเมืองต่อหน้าเขา หลังจากแก้แค้นแล้ว ชาวอียิปต์ได้ส่งแส้คืนให้แก่อุมัรฺ แต่อุมัรฺบอกชาวอียิปต์คนนั้นว่า “เฆี่ยนเจ้าเมืองผู้มีเกียรติหนึ่งทีด้วย ลูกชายของเขาคงจะไม่เฆี่ยนท่านถ้าเขาไม่ทะนงคิดว่าพ่อตัวเองมีตำแหน่งใหญ่โต”
ชาวอียิปต์ผู้ร้องทุกข์กล่าวว่า “ฉันแก้แค้นคนที่เฆี่ยนฉันด้วยตัวเองแล้ว ฉันขอพอแค่นี้” อุมัรฺจึงกล่าวว่า “ขอสาบานด้วยพระเจ้า ถ้าหากท่านเฆี่ยนเขา(เจ้าเมือง) ฉันจะไม่ขัดขวางท่าน ท่านไม่เฆี่ยนเขาด้วยเจตนารมณ์ของท่านเองนะ” หลังจากนั้น อุมัรฺได้หันไปยังอัมร์ อิบนุลอาศด้วยความโกรธและกล่าวว่า “อัมร์ ท่านเริ่มกดผู้คนของท่านลงเป็นทาสตั้งแต่เมื่อใดทั้งๆที่พวกเขาเกิดมาเป็นไทจากแม่ของพวกเขา?”
เมื่อรัฐอิสลามรุ่งเรืองถึงขีดสุด ประชาชนทั่วไปสามารถร้องทุกข์กล่าวโทษเคาะลีฟะฮฺในยุคนั้นได้อย่างเท่าเทียมกันและเคาะลีฟะฮฺต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อตอบข้อกล่าวหา และถ้าเคาะลีฟะฮฺคนใดฟ้องร้องประชาชนของตน เคาะลีฟะฮก็ไม่สามารถใช้อำนาจหน้าที่ทางการปกครองมาทำให้คดีจบ แต่ต้องนำเรื่องสู่ศาลเพื่อการตัดสิน