ศึกนอกต้องสู้ ศึกในต้องนิ่ง

ขณะที่นบีมุฮัมมัดปฏิบัติภารกิจเผยแผ่อิสลามในเมืองมักก๊ะฮฺ ผู้ต่อต้านท่านมีอยู่แค่ในเมือง แต่เมื่ออพยพไปยังยัษริบ ท่านกลับมีทั้งศัตรูผู้รุกรานจากภายนอกและศัตรูภายใน สงครามอุฮุดที่มุสลิมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ผู้รุกรานจากมักก๊ะฮฺและนบีมุฮัมมัดได้รับความบอบช้ำเกิดจากสาเหตุสองประการ ประการแรกคือพลธนูละทิ้งหน้าที่ป้องกันทหารม้าที่จะเข้ามาโจมตีมุสลิมจากด้านหลัง เพราะเห็นแก่ทรัพย์เชลยที่ตกอยู่ในสนามรบ ประการที่สอง คือ อับดุลลอฮฺ บินอุบัย พาคนของเขาจำนวนสามร้อยคนถอนตัวจากการร่วมทัพกับนบีมุฮัมมัดขณะกำลังเผชิญหน้ากับข้าศึก เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้อับดุลลอฮฺ บินอุบัยและพรรคพวกของเขาถูกมุสลิมตราหน้าว่าเป็น “พวกตลบตะแลง” (มุนาฟิกีน) คนกลุ่มนี้เป็นหอกข้างแคร่ของมุสลิมในเมืองยัษริบ เนื่องจากประสบความพ่ายแพ้และเห็นนบีมุฮัมมัดได้รับความบอบช้ำ สาวกคนสนิทบางคนรู้สึกไม่พอใจพฤติกรรมคดในข้องอในกระดูกของอับดุลลอฮฺ บินอุบัยจนถึงขั้นขออนุญาตนบีมุฮัมมัดเอาชีวิตเขาด้วยการตัดคอ แต่นบีมุฮัมมัดไม่อนุญาตด้วยเหตุผลบางประการ ประการแรก อับดุลลลอฮฺ บินอุบัยกล่าวคำปฏิญาณตนเข้ารับอิสลาม และอิสลามมีกฎว่ามุสลิมคือผู้ที่ลิ้นและมือของเขาต้องไม่เป็นอันตรายต่อมุสลิม ท่านบอกสาวกของท่านว่าเขายังไม่ได้แสดงพฤติกรรมทำร้ายมุสลิม ดังนั้น เขาจะต้องปลอดภัยจากลิ้นและมือของมุสลิม เมื่อสาวกของท่านแย้งว่าอับดุลลอฮฺ บินอุบัยมีเจตนาร้าย นบีมุฮัมมัดได้กล่าวว่าเรื่องภายในจิตใจของเขาต้องปล่อยให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสิน เหตุผลอีกประการหนึ่งก็คือ ถ้าหากท่านอนุญาตให้สาวกของท่านประหารอับดุลลอฮฺ บินอุบัย คนทั่วไปจะมองว่าท่านฆ่าแม้แต่มุสลิมที่เป็นสาวกของท่านเอง อับดุลลอฮฺ บินอุบัยเป็นผู้นำของเผ่าใหญ่ที่กำลังจะได้เป็นผู้นำในเมืองยัษริบ แต่เมื่อนบีมุฮัมมัดได้รับเชิญมาเป็นผู้นำ เขาจึงสูญเสียโอกาสไป ดังนั้น เขาจึงหาโอกาสที่จะกำจัดนบีมุฮัมมัดตลอดเวลา เขาฉลาดจนไม่มีใครสามารถลงโทษพฤติกรรมภายนอกของเขาได้ วิธีการหนึ่งที่เขาใช้คือการยุแหย่ให้มุสลิมแตกความสามัคคีกัน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เป็นเรื่องน่าคิดที่แม้อับดุลลอฮฺ บินอุบัยมีใจเป็นศัตรูต่อนบีมุฮัมมัดและอิสลาม แต่ลูกชายของเขากลับหันมาเป็นผู้ศรัทธาในอิสลามอย่างเข้มแข็ง ในวันที่อับดุลลอฮฺ บินอุบัยเสียชีวิต ลูกชายของเขาได้มาหานบีมุฮัมมัดและขอเสื้อคลุมของท่านเพื่อนำไปทำเป็นผ้าห่อศพพ่อของเขา นบีมุฮัมมัดได้ถอดเสื้อคลุมของท่านให้ไป เมื่อเห็นเช่นนั้น ลูกชายของอับดุลลอฮฺจึงถามนบีมุฮัมมัดว่า “ท่านจะไปนำละหมาดขออภัยโทษให้แก่ศพพ่อของฉันไหม?” นบีมุฮัมมัดตอบว่า “จัดการศพเรียบร้อยแล้วมาเรียกฉัน” คำตอบของท่านทำให้บรรดาสาวกของท่านผิดคาด เมื่อศพของอับดุลลอฮฺ บินอุบัยถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว นบีมุฮัมมัดเตรียมที่จะละหมาดขอพรให้ศพของเขา อุมัรฺสาวกคนสนิทของท่านได้ดึงเสื้อของท่านและถามท่านว่า “พระเจ้ามิได้ห้ามท่านละหมาดให้แก่คนตลบตะแลงหรือ?” นบีมุฮัมมัดยิ้มและตอบว่า “พระเจ้าให้ฉันเลือกว่าจะละหมาดให้หรือไม่ก็ได้ แต่ฉันเลือกที่จะละหมาดขอพรให้เขา คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า ‘ไม่ว่าเจ้าจะขออภัยโทษให้เขาหรือไม่ (บาปของเขาก็ไม่ได้รับการให้อภัย) ถ้าหากเจ้าขออภัยให้เขาเจ็ดสิบครั้ง พระเจ้าจะไม่ให้อภัยพวกเขา’” (กุรอาน 9:80) แต่หลังจากนั้นไม่นาน นบีมุฮัมมัดได้รับคำสั่งจากพระเจ้าว่า “และเจ้า(มุฮัมมัด)จงอย่าละหมาดให้แก่คนใดในหมู่พวกเขาที่เสียชีวิต และจงอย่ายืนที่หลุมฝังศพของเขา เพราะพวกเขาเป็นผู้ปฏิเสธพระเจ้าและศาสนทูตของพระองค์ และพวกเขาตายในขณะที่เป็นผู้ฝ่าฝืน” (กุรอาน 9:84) หลังจากนั้น นบีมุฮัมมัดจะไม่ไปละหมาดขอพรให้แก่ศพของผู้ตลบตะแลงหรือตระบัดสัตย์และไม่ไปยืนที่หลุมฝังศพของคนประเภทนี้อีกเลย สาวกคนหนึ่งถามท่านว่าทำไมท่านจึงให้เสื้อคลุมไปห่อศพและละหมาดขอพรให้ศพของอับดุลลอฮฺ บินอุบัย ท่านตอบว่า “เสื้อของฉันและการละหมาดขอพรที่ฉันทำไปจะไม่ช่วยให้เขารอดจากการลงโทษของพระเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม ฉันหวังว่าผู้คนนับพันจากเผ่าของเขาจะหันมาเป็นมุสลิมที่จริงใจเพราะเหตุนี้”

บรรจง บินกาซัน